วันที่สอง
ตื่นมาอากาศหนาวมาก
แต่แดดดีจริงๆ บอกหนูขิงให้รีบไปอาบน้ำจะได้มาทานอาหารเช้า หนูขิงขอต่อรองว่าหนูขอไม่อาบน้ำได้ไหมคะ วันนี้ทำง่ายๆ
Scramble
egg กับ ขนมปังปิ้ง ชงกาแฟให้พ่อ เรารีบทานแล้วไปเช็คเอาท์
เพื่อจะพาหนูขิงไป The
Vanished world center กับ Elephant rocks.
ตั้งจีพีเอสแล้วเราก็ไปกันเลย
ที่ The Vanished world center and trail เค้าอยู่ที่เมืองเล็กๆชื่อดันทรูน(Duntroon) ขับแยกจากSH1 ไปทางตะวันตกที่แยกSH83 เมืองนี้อยู่ระหว่างโออามารุ(Oamaru) กับ โอมารามา
(Omarama) ขับไปชมวิวสองข้างทางไปมีน้องแกะให้ดูเป็นระยะๆ ขับประมาณ ชั่วโมงนึงก็ถึง
The Vanished world
center หาที่จอดรถ
แล้วก็เข้าไปดูกันเลย ที่นี่เค้าเป็นศูนย์การเรียนรู้ขนาดเล็กที่รวมเอาฟอสซิลของสัตว์ต่าง
เช่น วาฬ ฉลาม นกเพนกวิน และ หอยต่างๆ รวมถึงไม้กลายเป็นหินที่พบแถวนี้มาแสดงให้ดู
และก็มีบอร์ดอธิบายเกี่ยวกับธรณีวิทยาของพื้นที่แถบนี้ให้อ่านกัน
ลืมบอกไปค่ะว่าหนูขิงเค้ามีสนใจเกี่ยวกับธรณีวิทยาค่ะ
ศูนย์เค้าเล็กนิดเดียวแต่มีฟอสซิลให้ดูเยอะค่ะ แถมอนุญาติให้เด็กจับเล่นได้ด้วย หนูขิงสนุกมาก
อยู่ที่นี่ประมาณเกือบสองชั่วโมง
แล้วเราก็ขับตามเส้นทาง เพื่อไปดูภาพเขียนบนผนัง: Maori rock art ที่ ต้องเดินขึ้นเขาไปหน่อยนึงก็ถึงแล้วค่ะ น่าสนใจดีค่ะ มีเป็นรูปคน รูปสัตว์ แล้วก็ ปลา
แล้วเราก็ขับตามเส้นทาง เพื่อไปดูภาพเขียนบนผนัง: Maori rock art ที่ ต้องเดินขึ้นเขาไปหน่อยนึงก็ถึงแล้วค่ะ น่าสนใจดีค่ะ มีเป็นรูปคน รูปสัตว์ แล้วก็ ปลา
ดูเสร็จ ก็ขับต่อไปที่ Elephant rocksค่ะ
ที่นี่ใช้เป็นที่ถ่าย ทำหนังเรื่อง Narnia นะคะ ใช้เป็น Aslan’s Campค่ะ
แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่เรามานะคะ แม่อยากพาหนูขิงมาดู กลุ่มหินปูนก้อนยักษ์ที่โผล่พ้นผิวดินขึ้นมา
หินแบบนี้หาดูไม่ได้ง่ายๆนะคะ พ่อบอกว่าอยากรู้ว่าหินพวกนี้จะดูเหมือนช้างแค่ไหน
เกือบหลงค่ะเพราะไม่มีอยู่ในจีพีเอส ดูตามแผนที่
เค้าให้ใช้ถนนLivingston-Duntroon
เลยต้องดูป้ายอย่างเดียว แล้วก็ขับตามป้ายนะคะ พอมาถีงไม่ค่อยมีคนเลยค่ะ
มีแต่น้องแกะ พาหนูขิงเดินเล่นรอบๆ บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลนะคะ
มีกล่องไว้หยอดเงินบริจาค เราเลยรีบเอาเหรียญในกระเป๋าหยอดไป อธิบายให้หนูขิงฟังนิดหน่อยว่าหินพวกนี้เมื่อประมาณ
25ล้านปีมาแล้วมันอยู่ใต้ทะเล
เมื่อแผ่นดินยกตัวขึ้นหินพวกนี้ก็โผล่ขึ้นมา แรงลมและน้ำกัดกร่อนให้มันมีรูปร่างแบบนี้ แต่หนูขิงวิ่งไปสำรจก่อนที่จะฟังจบ พยายามหาก้อนหินที่ดูเหมือนช้างให้ได้ พอหนูขิงเบื่อกับการปีนก้อนหินก็หันมาไล่แกะแทน
วิ่งไปวิ่งมาเพิ่งสังเกตว่าทั้งทุ่งหญ้าที่วิ่งเล่นอยู่นั้นมีแต่กองอึของน้องแกะเต็มไปหมด
เลยร้องโวยวายลั่นทุ่งเลยค่ะ
มองนาฬิกาอีกทีก็
บ่ายโมงสิบห้าแล้ว ต้องรีบไปกินข้าวกลางวันกันก่อน แม่ว่าจะทำอาหารง่ายๆทานและออกไปนั่งปิคนิคกัน
แต่พ่อบอกว่าเห็นมี
café น่ารักอยู่ที่ข้างๆ The Vanished World Centerโอเค
งั้นไปกันเลยเพราะร้านแถวนี้เปิดตอนกลางวันแค่ถึงบ่ายสอง เราเลยรีบขับมา โชคดีที่ร้านยังเปิดอยู่
ร้านชื่อ The
Flying Pig Caféค่ะ เราสั่งพายกับสลัดมาแชร์ และสั่งChicken NuggetsกับChipsมาให้หนูขิง
อ้อไม่ลืมสั่งginger
beerค่ะ เจ้าของร้านบอกว่าไม่ต้องรีบทานเค้ายังไม่ปิดร้าน
เจอคนใจดีอีกแล้ว แม่เลยซื้อบราวนี่เอาไว้เป็นเสบียง
ทานเสร็จเราก็ขับกลับมาที่SH1เพื่อมาหาที่พักในคืนนี้
วันนี้เป็น Good
Friday ซึ่งเป็นวันเริ่มต้น วันหยุดยาวของคนนิวซีแลนด์เค้า ขับไปหน่อยก็ถึงที่พัก Waitaki Waters Holiday park จัดการเช็คอิน
ทาง park hostก็แนะนำอุปกรณ์
ต่างๆของพาร์คให้และที่เที่ยวในเมืองโออามารุ เป็นซึ่งอยู่ห่างไปทางใต้ประมาณ 10
กว่านาที เค้ายังบอกว่าคำว่า Wai ในภาษาเมารีแปลว่าน้ำ Taki
แปลว่าเสียง ดังนั้นWaitaki จึงแปลว่า เสียงของน้ำ ที่ไวทากิ วอเตอรส์
ฮอลิเดย์พาร์คนี้ตั้งอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำไวทากิ Waitaki River ที่ใช้เป็นที่แบ่งเขตระหว่าแคนเทอร์เบอร์รี่กับโอทาโก
ที่แม่น้ำนี้ยังเป็นที่ตั้งของเขื่อนที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย
พอไปถึงหนูขิงถามว่าทรายอยู่ไหนล่ะคะมีแต่ก้อนหินมากองกันเหมือนเป็นกำแพงหินเลยค่ะแม่ เลยต้องอธิบายว่านี่เป็น Pebbles Beachค่ะ หาดูยากนะลูก หนูขิงเลยงง นานมาแล้วก้อนหินพวกนี้ถูกแม่น้ำพัดพามากองกันไว้ที่ปากแม่น้ำ พอคลืน่แรงๆก็พัดก้อนหินพวกนี้มากองไว้ที่ชายหาด ก้อนหิน หนักกว่าเม็ดทรายเลยไม่ไหลตามกลับลงไปตอนBack-wash เวลาผ่านไปหลายล้านปีมันเลยกองสูงเป็นกำแพงแบบนี้ เดินสำรวจไปรอบๆจนเริ่มหนาวเราเลยเดินกลับ
จากนั้นเราก็ขับรถไปที่เมืองโออามารุ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการทำกสิกรรมของเขต
North Otago คำว่าOamaru มาจากภาษาของชาวเมารีแปลว่า
Place of Maru
หนูขิงถามว่าแล้วMaruคือใคร
ไม่รู้เหมือนกันลูกเค้าไม่ได้บอกไว้ อ้อ กัปตันเจมส์ คุก (Captain James Cook) ก็แวะมาที่นี่ด้วยนะคะเมื่อหลายร้อยปีก่อน ถนนกลางเมืองมีต้นไม้เรียงรายอยู่สองข้างทาง
มีตึกสวยๆอยู่เต็มไปหมด ขอตรงไปที่ i-SITE ก่อนนะคะ หยิบแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารมาดูเล่น
ที่เมืองนี้เค้า
เก็บรักษาตึกเก่าๆเอาไว้เป็นอย่างดี ตึกพวกนี้อยู่ในย่านที่เรียก Historic Victorian Precinct สร้างขึ้นในช่วง1880s ด้วย
Oamaru Stone
ทั้งหมด มีโรงงานชีส Whitestone
ด้วยค่ะ
ตอนนี้เย็นแล้วพรุ่งนี้ค่อยแวะมาและที่นี่เค้าภูมิใจกับเจ้าเพนกวินสีฟ้านี้มากนะคะ
มีรูปแ กะสลักของเพนกวินตั้งอยู่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย เราแค่เดินเล่นและถ่ายรูปรอบๆเมือง
แล้วก็ขับรถต่อไปที Oamaru Blue Penguin colony บนถนน Waterfront เราเลือก Combo viewing ซึ่งเค้าให้ไปเดินตามทางด้านหลังเพื่อไปดูรังของนกเพนกวินและมีช่องให้แอบดูลูกนกกับแม่นกด้วย
เดินประมาณ 20
นาที
เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้ไปที่นั่งเพื่อเฝ้ารอนกที่ออกไปหาอาหารในทะเลกลับมาที่รัง
ไปนั่งดูไม่เห็นมีนกเลยแต่มี Sea Lion ตัวใหญ่นอนอยู่แทน
เจ้าหน้าที่ก็บอกกติกาในการชมให้ฟังว่าห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพค่ะ และอธิบายถึงลักษณะและนิสัยของนกรวมถึงประวัติของcolony
แห่งนี้ให้ฟัง เค้าเริ่มจากมีการพบว่ามีนกเพนกวินมาทำรังที่เหมืองหินเก่า(
Rock quarry) ที่เคยใช้เป็นที่ผลิตหินโออามารุOamaru Stone ที่ใช้ในการก่อสร้าง
ชาวเมืองก็เลยร่วมกันพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์อนุรักษ์ นกเพนกวินสีฟ้านี้เป็นนกเพนกวินที่ขนาดเล็กที่สุดในบรรดานกเพนกวินทั้งหลายตัวสูงแค่ประมาณ
30 ซม.
เอง และหนักประมาณ 1กิโลกรัม
ชาวเมารีเรียกมันว่า Korora
อาศัยอยู่ตามชายฝั่งของนิวซีแลนด์และทางตอนใต้ของออสเตรเลีย
หนูขิงบอกแม่ว่าที่ออสเตรเลียเค้าเรียกว่า Fairy Penguin
เจ้าหน้าที่บอกว่ามันมีขนสีขาวที่หน้าอกส่วนขนที่อื่นเป็นสีน้ำเงินเข้มค่ะ มันจะออกไปหาอาหารในทะเลแต่เช้าและกลับมาตอนเย็น
ตัวนิดเดียวแต่เก่งน่าดูเลย เจ้าหน้าทีบอกว่าช่วงนี้นกไม่มากเพราะไม่ใช่ Breeding Season
นั่งดูซักพักนกก็ยังไม่มาแต่ลมพัดแรงขึ้นและหนาวขึ้นเรื่อยๆ เลยต้องไปเอาผ้าห่มในรถมาเพิ่ม สักพักนกก็มา
น่ารักมากๆเลย กล้าๆกลัวๆ เพราะเจ้า Sea Lionตัวอ้วนยังไม่ขยับไปไหน
เกือบสองทุ่มแล้วหนูขิงก็เริ่มหิว
เลยเคลื่อนขบวนมาหาร้านอาหาร ที่ลานจอดรถคุณพ่อเห็นตัวอะไรวิ่งดุ๊บๆเลอดรั้วเข้าไป
อุ๊ยดูดีดี ก็คือนกเพนกวินสีฟ้านั่นเอง เราเลยดับไฟหน้ารถแอบดูนกเพนกวิน
อีกสี่ห้าตัวเดินกลับรังกันค่ะ แม่อ่านเจอว่ามีร้านดังอยู่ใกล้ๆแถวนี้
เราเลยไปตัดสินใจว่าจะลองร้านนี้ ร้านชื่อ The Loan & Merc เค้าเอาโกดังเก่ามาทำเป็นร้านอาหาร
พวกผนังหิน เสา พื้นไม้ ยังเป็นของเดิมเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วอยู่เลย
เมนูเค้าก็แปลกๆ มีอยู่รายการนึงชื่อว่า Titi mutton bird เลยถามพนักงานว่าคืออะไร
ได้คำตอบว่าเป็นนกทะเลชนิดนึง พ่อเลยลองสั่งมาทาน แม่สั่งหอยแมลงภู่อบเนย
หนูขิงสั่งกุ้งครีมซอส พออาหารมาของลองชิม Titi mutton bird ของพ่อ
เอ่อ เนื้อแบบไก่แต่กลิ่นเป็นทะเลมากๆ แถมเค็มๆ ต้องทานแกล้มซอสที่เค้าให้มา
อย่างอื่นก็รสชาดใช้ได้ เห็นเค้ามีเบคอนขาย
เลยลองซื้อมาเอาไว้เป็นอาหารเช้า
ทานเสร็จก็กลับที่พักเพราะอากาศเริ่มหนาวสุดๆ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้านอนเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น