วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

วันที่เจ็ด Queenstown - The perfect tourist town

วันที่เจ็ด
         วันนี้เราตื่นสายค่ะ เพราะขับรถแค่180กิโลเอง  เราใช้เส้นทาง route94-Te Anau Mossburn Hwy ตอนขับผ่านเมือง มอสส์เบิร์น(Mossburn) หนูขิงเห็นว่ามีกังหันลมอยู่บนภูเขาเต็มไปหมด พ่อบอกว่านั่นคือ wind farm ใช้พลังงานจากลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า แม่เลยเปิดดูในหนังสือ ที่นี่เค้าเรียกว่า White Hill Wind farm 


จากนั้นขับผ่านเมืองลัมส์เดน( Lumsden) และใช้ route 6 ขึ้นเหนือ ผ่านเมืองกราสตัน(Garston) มีร้านขายน้ำผึ้งเล็กๆอยู่หนึ่งร้านมีน้ำผึ้งให้ลองหลายชนิด ทั้งน้ำผึ้งมานูกา (Manuka)ที่มีชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ และชนิดอื่นๆ แต่ที่เราสามคนติดใจคือ น้ำผึ้งท้องถิ่นที่คุณลุงเจ้าของร้านเลี้ยงผึ้งเองอร่อยมากๆ เลยอุดหนุนมาหนึ่งกระปุก  เราแวะดูหัวรถจักรไอน้ำที่เมืองคิงส์ตัน(Kingston) หน่อยนึง วันนี้ไม่มีตารางวิ่งเพราะไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ ในช่วงยุคตื่นทอง Gold rush รถไฟสายนี้เป็นสายหลักที่พานักเดินทาง และนักแสวงโชคจากทางตอนใต้ของเกาะมายังทะเลสาบวาคาติปู (Lake Wakatipu)

 
ขับต่อไปอีกเราก็เริ่มขับสู่เส้นทางเลียบทะเลสาบวาคาติปูซึ่งหมายความว่าควีนส์ทาวน์ใกล้เข้ามาทุกที  วันนี้เราจะไม่พักที่ฮอลิเดย์พาร์คนะคะ เราตกลงว่าจะนอนโรงแรมกัน เพราะว่าอากาศหนาวมาก ขนาดตอนนี้เป็นตอนกลางวันยังประมาณ4-5องศาเซลเซียส  พ่อเลือกโนโวเทลเพราะ ราคาสมเหตุผลและมีWifi ฟรี แม่เลยโทรติดต่อจองห้องพักระหว่างเดินทาง


  พอเข้าเขตควีนส์ทาวน์ เท่านั้น วิวสวยจริงๆ เมืองนี้ถูกตั้งชื่อว่าควีนส์ทาวน์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ Queen Victoria  เมืองนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบวาคาติปู มีฉากหลังคือ เทือกขาThe Remarkables ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่ๆชาวเมารีใช้เป็นที่ล่านกโมอา(Moa )และค้นหาหินสีเขียว(new zealand Greenstone) ต่อมาก็มีการเริ่มทำฟาร์มเลี้ยงแกะที่นี่ แต่การทำฟาร์มก็ถูกลืม เพราะมีการค้นพบทองที่ Shotover river ในปีค.ศ. 1862  ทั้งควีนส์ทาวน์และแอโรว์ทาวน์(Arrotown)ก็เต็มไปด้วยนักแสวงโชค จนกระทั่งในปีค.ศ. 1900ทองก็หมดไป ทำให้ผู้คนย้ายออกจากเมือง แต่ในช่วงปี1970s  เมืองนี้ค่อยๆพัฒนาจากเมืองเล็กๆ จนมาเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะการเล่นสกีในฤดูหนาว ต่อมาเมื่อการท่องเที่ยวที่ขยายขึ้นเมืองนี้ก็กลายมาเป็น World center for Adventure sport โดยเฉพาะเรื่อง Shotover jetกับ Bungy Jumping รวมถึง สกายไลน์ กอนโดลา (skyline gondola)เป็นต้น  ถึงแม้ว่ารายได้หลักของเมืองจะมาจากนักท่องเที่ยว แต่ควีนส์ทาวน์ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเมืองเล็กไว้อย่างดีเยี่ยม  มีถนนคนเดิน ตึกเก่าๆก็รักษาไว้เป็นอย่างดี
 
เที่ยงแล้วเราไปหาอาหารกลางวันกันก่อนดีกว่า  เพราะว่า ควีนส์ทาวน์ เป็นเมืองเล็ก วิธีที่ดีที่สุดที่จะชมเมืองคือการเดินค่ะ เราเลยหาที่จอดรถและก็เริ่มเดินกันค่ะ  ใก้ลที่จอดรถมีร้าน Fergburgerที่ TripAdvisor บอกว่าเป็นสุดยอดเบอร์เกอร์ของเมืองนี้  แต่คนเยอะมาก ขอผ่านนะคะ  เราเลยไปเริ่มต้นหาร้านอาหารกับเดินชมเมืองที่ The Mall ที่นี่เป็นศูนย์รวมทั้งร้านอาหาร café และร้านขายของที่ระลึก  ตั้งอยู่บนถนนคนเดินที่สามารถเดินไปถึงท่าเรือได้  โดยเฉพาะการนำ ตึกเก่าสไตล์ colonial มาดัดแปลงเป็นร้านต่างๆ เรียงรายอยู่สองฝั่งยิ่งทำให้บรรยากาศดูดีมากๆ  เราเลือกทานที่ร้านชื่อ  Tatler ที่นำร้านขายของชำรุ่นแรกที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1863 มาปรับปรุงตกแต่งใหม่  ร้านนี้ใช้วัตถุดิบของท้องถิ่นของนิวซีแลนด์มาปรุงอาหารค่ะ พ่อสั่งหอยแมลงภู่นึ่งกับใบโหระพา  แม่สั่งสลัดกุ้งย่าง หนูขิงขอเหมือนเดิมคือ ฟิชแอนด์ชิปส์ เราสั่ง Panacotta มาเป็นของหวาน อร่อยมากๆค่ะ และพนักงานของร้านนี้ก็บริการดีมากอีกด้วย


 หลังจากอิ่มเราก็เดินชมเมืองต่อ แม่นึกได้ว่าควรจะไปติดต่อเรื่องทัวร์ไป Walter Peak Farm ไปที่สำนักงานของ Real Journeys ก่อน เพื่อยืนยันว่าถ้าเราจะไปพรุ่งนี้จะได้ไหม  เจ้าหน้าที่ให้เลือกว่าจะไปเช้าหรือบ่าย เราเลยเลือกไปตอนเช้า  เสร็จเรื่องแล้วเดินเล่นต่อ เดินไปเดินมาเจอ i-SITE เลยแวะซักหน่อย  ไปถามว่าอยากไปลองบุฟเฟต์ ที่ร้าน Skyline Queenstown พอจะมีที่ไหม วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ เค้าบอกว่าวันนี้มีแต่รอบสองทุ่มสี่สิบห้า เราเลยเลือกพรุ่งนี้รอบหกโมงเย็น อาหารเย็นที่ร้านนี้เค้าให้เข้าเป็นรอบนะคะ มีวันละสองรอบ รอบแรกหกโมงเย็น รอบที่สองตอนสองทุ่มสี่สิบห้า ขอเล่าเกี่ยวกับร้านนี้พรุ่งนี้นะคะ
ตอนนี้ยังไม่บ่ายสามโมงเลย แม่เลยชวนพ่อขับไปเมืองแอโรว์ทาวน์ กัน แม่เล่าให้หนูขิงฟังว่ามีในสมัยก่อนทุกคนจะมุ่งมาหาทองที่เมืองนี้ และถ้าขิงโชคดีลองไปหาดูอาจจะเจอก็ได้นะ หนูขิงตื่นเต้นมากอยากไปสุดๆ ขับรถแค่ 20 นาทีก็มาถึงเมืองแอโรว์ทาวน์แล้ว  ในปี 1862 มีการขุดพบทองที่ Fox river และ นับจากนั้นผู้คนก็เดินทางมามากขึ้นเรื่อยๆ มีคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่ถึง 7000 คน  ในปี 1865 มีการตื่นทองทางด้านชายฝั่งตะวันตกแถวเมือง ชาร์ลตัน(Charleston)  ชาวเหมืองที่เป็นคนยุโรปก็ย้ายออกจากแอโรว์ทาวน์ ชาวจีนถูกชวนให้เข้ามารับจ้างเป็นคนงานเหมืองและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ซึ่งบ้านและกระท่อมหินของพวกเขายังถูกรักษาไว้อย่างดี ที่ Chinese settlement  เมืองแอโรว์ทาวน์เป็นหนึ่งในเมืองที่เรียกว่า Boom Town ที่ยังคงรักษากลิ่นอายของเมืองเหมืองทองไว้ได้โดยที่เมื่อทองหมดลงเมืองก็ไม่กลายเป็นเมืองร้าง หรือถูกกลืนไปด้วยสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่  บ้านเก่าแบบ colonial ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ตึกไปรษณีย์เก่า  รวมถึงกระท่อมหินของ ชาวเหมืองที่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี แถมถนนรอบเมืองก็ยังก็ยังร่มรื่นไปด้วยต้นโอ็ค แถมใบไม้กำลังเปลี่ยนสีด้วย เลยทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยสีสัน 
 
 เราเดินไปที่  Lake District Museum & Gallery ก่อน ที่ พิพิธภัณฑ์ ยังเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวของเมืองนี้อีกด้วย  ที่นี่ยังมีจานร่อนทอง Gold pan และพลั่ว Spade ให้เด็กๆเช่า เพื่อลองไปหาทองที่แม่น้ำแอร์โรว์(Arrow river) ที่อยู่ทางด้านหลังอีกด้วย  หนูขิงกับพ่อเลยไปร่อนทอง แม่ขอเดินดูใน พิพิธภัณฑ์ ส่วนใหญ่จะแสดงเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของทั้งเมืองควีนส์ทาวน์ และเมืองแอโรว์ทาวน์ แต่เน้นไปที่การทำเหมืองทอง และความเป็นอยู่สมัยนั้น    พอแม่เดินจนทั่ว เดินลงไปดูเห็นสองคนพ่อลูกกำลังขะมักขะเม้นร่อนทองกันใหญ่  หนูขิงบอกว่ายังหาไม่ได้เลย น้ำเย็นมาก  มือหนูชาไปหมดแล้ว  แม่เลยบอกให้เลิก ตอนเดินกลับเอาจานร่อนทองไปคืน เห็นมีร้านน่ารักๆเต็มไปหมด ขายของกระจุกกระจิกและของที่ระลึกเต็มไปหมด เราเลยเดินเล่นแวะเข้าไปดูกันเล่น เจอร้านขายทองที่เขียนไว้ว่าทองพวกนี้มาจาก ที่เมืองนี้ เราเลยแวะเข้าไป  ทางร้านมีทองเป็นเกล็ดๆ กับเงินมาใส่หลอดเล็กไว้ขายด้วย หนูขิงเลยซื้อทองกับเงินมาเป็นที่ระลึก


  เสร็จแล้วเราเลยวนรถไปที่ Chinese Settlement บรรยากาศดีมากเพราะ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี สวยมากเลยค่ะ  ที่นี่ก็ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี  และ มีป้ายอธิบายอยู่เป็นระยะ อ่านแล้วรู้สึกถึงความยากลำบากของชาวจีนที่นี่เป็นอย่างมาก ทั้งงานที่หนัก อากาศที่หนาวเย็น ดูเสร็จเราก็ขับกลับมาที่ควีนส์ทาวน์ เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม  ระหว่างทางถามหนูขิงว่าจะไปดูเค้ากระโดด Bungy Jumping ไหม หนูขิงไม่อยากไปเพราะว่ามันหวาดเสียว เราเลยตรงไปโรงแรมเลย จัดการเช็คอินเสร็จแล้ว ก็ถามว่าจะจอดรถที่ไหน เจ้าหน้าที่บอกว่าหน้าโรงแรมจอดได้ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเก้าโมงเช้า แต่เค้ามีบริการ valet parking เราเห็นว่าวันนี้ก็หกโมงแล้วเราเลยไปหาที่จอดหน้าโรงแรม พรุ่งนี้ค่อยใช้บริการของvalet ล้างหน้าล้างตาแล้วก็เดินไปหาอาหารเย็น จำได้ว่าน้องๆที่เจอเมื่อวานแนะนำร้านอาหารเกาหลีที่น้องรับประกันว่าอร่อยสุดยอดไว้ เราเลยไปหากัน แต่พอไปถึงคนแน่นมากๆมีคิวก่อนหน้าเราหลายคิว หนูขิงไม่อยากรอ ขอเดินดูเรื่อยๆ เดินไปถึงBeach street เจอร้านจีนหน้าตาดีอีกแล้ว พ่อบอกว่าพ่อเริ่มเบื่ออาหารจีนแล้วนะ แต่หนูขิงก็ยังยืนยันว่าหนูชอบอาหารจีนที่เมืองนอก!!!! ร้านนี้ชื่อ Mandarin Chinese restaurant  เลยไปลองกัน เราสั่งสเต็กจานร้อน ผักบรอคโคลี่กับกุ้ง จะสั่งอีกอย่าง พนักงานเสิรพบอกว่าจานใหญ่นะ สองอย่างน่าจะพอ พออาหารมา จานใหญ่มากๆ เกือบจะทานไม่หมด  เพราะที่ควีนส์ทาวน์เป็นเมืองท่องเที่ยว ร้านรวงต่างๆเลยปิดค่อนข้างดึก พ่อกับแม่เลยมีโอกาสไปเดินดูของ Outdoor ที่ร้าน Kathmandu ร้านนี้เป็นร้านโปรดของพ่อกับแม่ค่ะไม่มีโอกาสดูที่ทิมารุ เพราะว่าร้านปิดซะก่อน ร้านใหญ่มากมีของตั้งแต่เสื้อกันหนาว อุปกรณ์เดินป่า  เป้แบบต่างๆ  เค้าขายเต๊นท์ด้วยนะคะ หนูขิงสนุกใหญ่มุดเข้ามุดออกตามเต๊นท์ต่างๆ  พ่อกับแม่ไปเลือกถุงนอนกันค่ะ จะซื้อเต๊นท์ก็ขี้เกียจขน เลยซื้อThermal undershirt ลดราคามาให้หนูขิงเอาไว้ใส่เป็น Base Layer เวลาไป hiking  ดูของจนเจ้าหน้าที่บอกว่าจะปิดร้านแล้ว ระหว่างเดินกลับมาที่โรงแรมเจอร้าน MacPac ร้านโปรดอีกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยแวะ  เดินกลับมาอากาศหนาวมากๆ เกือบแย่ พอถึงห้องค่อยอุ่นหน่อย  รีบอาบน้ำและก็เข้านอนดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น