วันที่สิบเอ็ด
" It is not the moutain we Conquer but ourselves" ... Sir Edmund Hillary
วันนี้แม่ต้องเตรียมอาหารกลางวันใส่กล่องตั้งแต่เช้า
เราจะไปเดินกันที่
Hooker Valley track ค่ะ เตรียมน้ำให้พร้อม
วันนี้แม่ให้หนูขิงใส่กางเกง leggingไว้ข้างในอีกตัว และให้ใส่เสื้อสี่ชั้น
วันนี้ไม่ใส่กางเกงยีนส์นะคะ กางเกงยีนส์ทำให้เกิดการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายได้ง่ายและถ้าเปียกจะหนักมาก
เพราะเราจะต้องเดินนาน
อากาศเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเด็กๆต้องดูแลหน่อยค่ะ ต้องใส่หมวกกับถุงมือด้วยนะคะ
คนเราสูญเสียความร้อนถึง40% จากทางศรีษะ ลืมบอกไปเสื้อสี่ชั้นก็มี base layer ที่ช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกาย
คือทำให้ระบายเหงื่อออกจากตัวเรา และไม่ทำให้เสื้อชื้น เพราะถ้าชื้นเราจะหนาว, เสื้อยืดแขนยาว
,เสื้อ
mid layer ส่วนมากก็จะเป็นFleece จากนั้นก็เป็นเสื้อกันลม
เสื้อกันลมต้องระบายอากาศได้ด้วยนะคะ รองเท้าก็ควรเป็น Hiking boots ต้องมีเสริมพื้นรองเท้าและพื้นที่กันลื่นด้วย
ถ้ากันน้ำได้ก็ดีค่ะ แต่งตัวเสร็จก็แวะบอกที่สำนักงานของGlentanner
ว่าจะอยู่ต่ออีกคืน วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าสีคราม เหมาะที่จะไปเดินมาก
ทางเดิน Hooker Valley track เป็นทางเดินที่เป็นที่นิยมกันมากค่ะ มีให้เลือกหลายระยะทาง วันนี้เราจะเดินไปนานหน่อยนะคะ เราเริ่มต้นเดินจาก DOC camping ground ที่เป็นที่ตั้งแห่งแรกของโรงแรม The Hermitage เดินชมต้นไม้ไปเรื่อยๆอากาศดีมาก เดินจนมาเจอ Alpine Monument ที่สร้างขึ้นโดยใช้หินมาเรียงกันเป็นรูปปิรามิดเพื่ออุทิศให้นักปีนเขาที่เสียชีวิตจากหิมะถล่ม เดินต่อไปอีก ประมาณ 45 นาที ก็เจอสะพานแขวน วิวสวยมากๆ แม่เล่าให้หนูขิงฟังว่าทีเมาท์คุกนี้ไม่มีป่าไม้แบบไม้ยืนต้นนะคะ เพราะเราอยู่สูงกว่าระดัยบ Tree Line ต้นม้ใหญ่ไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตนี้ ได้หนูขิงบอกว่าหนูเห็นมีต้นไม้เต็มไปหมด ต้นไม้พวกนี้คือพืชอัลไพน์ (Alpine plants ) ซึ่งพืชหลายชนิดเช่นพวกหญ้ามอส ไลเคน และ cushion plants พวกนี้จะอยู่รวมกันเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆและจะขึ้นในเขตภูเขาสูงที่มีหน้าดินน้อย ข้างใต้ดินเป็นหินแข็ง และอากาศหนาวเย็นและแห้ง
ทางเดิน Hooker Valley track เป็นทางเดินที่เป็นที่นิยมกันมากค่ะ มีให้เลือกหลายระยะทาง วันนี้เราจะเดินไปนานหน่อยนะคะ เราเริ่มต้นเดินจาก DOC camping ground ที่เป็นที่ตั้งแห่งแรกของโรงแรม The Hermitage เดินชมต้นไม้ไปเรื่อยๆอากาศดีมาก เดินจนมาเจอ Alpine Monument ที่สร้างขึ้นโดยใช้หินมาเรียงกันเป็นรูปปิรามิดเพื่ออุทิศให้นักปีนเขาที่เสียชีวิตจากหิมะถล่ม เดินต่อไปอีก ประมาณ 45 นาที ก็เจอสะพานแขวน วิวสวยมากๆ แม่เล่าให้หนูขิงฟังว่าทีเมาท์คุกนี้ไม่มีป่าไม้แบบไม้ยืนต้นนะคะ เพราะเราอยู่สูงกว่าระดัยบ Tree Line ต้นม้ใหญ่ไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตนี้ ได้หนูขิงบอกว่าหนูเห็นมีต้นไม้เต็มไปหมด ต้นไม้พวกนี้คือพืชอัลไพน์ (Alpine plants ) ซึ่งพืชหลายชนิดเช่นพวกหญ้ามอส ไลเคน และ cushion plants พวกนี้จะอยู่รวมกันเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆและจะขึ้นในเขตภูเขาสูงที่มีหน้าดินน้อย ข้างใต้ดินเป็นหินแข็ง และอากาศหนาวเย็นและแห้ง
เรานั่งพักและทานอาหารว่างนิดหน่อย และเดินต่อไปอีกประมาณชั่วโมงกว่า ก็ถึงสะพานแขวนอีกอันที่ walkingtrackเวลามีคนเดินสวนกัน ทุกคนก็จะทักทายกันนะคะ เราสามคนเดินช้านะคะ เพราะต้องหยุดเป็นระยะให้หนูขิงชมธรรมชาติด้วย วิวสวยจนตะลึง ข้ามสะพานมาเดินต่ออีกเกือบยี่สิบนาทีตอนนี้ มองไปข้างหน้า เมาท์คุก ก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเลยค่ะ หนูขิงบอกว่าเหมือนเมาท์คุกเค้าจ้องหนูอยู่เลยแม่ เดินไปเรื่อยๆจนเจอลำธารเล็กๆหนูขิงอยากทานอาหารกลางวันแล้ว เราเลยหาที่ทานกลางวันแบบ ปิคนิคกัน หลังอาหารกลางวันพ่ออยากเดินต่อแต่หนูขิงอยากเล่นที่ลำธาร เราเลยให้พ่อเดินไปที่ Hooker Terminal Lake คนเดียว แม่บอกว่าถ้ากลับมาไม่เจอก็เจอกันที่รถเลยนะ แม่ให้หนูขิงเล่นซักพักก็เริ่มเดินกลับ เราใช้ทางเดิมเดินมาเรื่อยๆ ยังไม่ทันผ่านสะพานแขวนอันแรก พ่อก็เดินมาทัน พ่อบอกว่าแม่กับหนูขิงไม่ได้เห็นวิวที่สวยมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเพราะกล้องแบตหมด เป็นข้อเตือนใจเลยนะคะ ว่าห้ามลืมชาร์จแบตกล้อง
พอมาถึงที่รถ หนูขิงอยากไปดูหนังสามมิติอีก พ่อเลยพาขับพาไปดู ส่วนแม่ไปเดินลงไปที่ ศูนย์นักท่องเที่ยวของ Department of Conservation ที่นี่เรื่องราวเกี่ยวกับการปีนเขา และ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางเดินและกิจกรรมที่อุทยานนี้ สักพักแม่ก็เดินกลับไปรอหนูขิงกับพ่อที่ร้านขายของของ Alpine Center ซื้อหนังสือและไปรษณียบัตรมานิดหน่อย พอหนูขิงกับพ่อออกมา ทั้งสองบอกว่าหิว แม่เลยชวนไปแวะที่ Old Mountaineers Café ต้องขับรถไปนะคะ ที่นี่มีรูปภาพขาวดำที่บอกถึงเรื่องราวของนักปีนเขา และ ที่ร้านนี้เป็นที่เดียวใน Mount Cook villageที่ ท่าน Sir Edmund มาทำพิธีเปิดให้นะคะ ที่นี่วัตถุดิบเกือบทุกอย่างเป็นออร์แกนนิคส์ นะคะ ตอนเรามาถึงยังแค่ห้าโมง เราเลยสั่ง แฮมเบอร์เกอร์ กับ Sir Ed’s sausage and chips มาแบ่งกันทาน พนักงานบอกว่าเนื้อบดของเค้ามีคลอเลสเตอรอลน้อยกว่าที่อื่น อาหารจานใหญ่และเยอะมาก มื้อนี้เลยกลายเป็นมื้อเย็นเลยค่ะ ทานเสร็จ ขับรถกลับ เจอเจ้าหน้าที่ของ Glentanner ชวนให้ไปบินดูภูเขาพรุ่งนี้เช้า แต่พ่อกับแม่ว่าแพงไปหน่อยเราเลยไม่ไป และพรุ่งนี้ว่าจะออกแต่เช้าด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น