วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

สองวันสุดท้าย - แล้วจะกลับมาใหม่


วันที่สิบห้า

ตื่นเช้ามาเมฆหายไปหมดแล้ว  อากาศค่อนข้างดีค่ะหนาวหน่อยๆ ที่โรงแรมมีครัวเล็กๆ อุปกรณ์ทำครัวครบครัน  และให้นมไว้หนึ่งกล่อง แม่เลยทำ Scramble egg ใส่ชีสที่ซื้อมาเมื่อวานให้ทุกคน ทานกับขนมปังปิ้ง ที่นี่มีชากาแฟและโกโก้ให้ชงฟรีด้วยค่ะ  ดีใจมากที่อาหารหมดทุกอย่างแล้วค่ะ
เช้านี้เรามีโปรแกรมแค่นั่งรถชมสวน เค้ามีทัวร์ออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ สิบโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นค่ะ  หนูขิงขี้เกียจเดินพ่อเลยโทรเรียกแท๊กซี่ให้มารับ  เราไปถึงที่หน้า พิพิธภัณฑ์แคนเทอเบอรี่ ประมาณสิบโมงเช้า  รถออกพอดี ซื้อตั๋วกับคุณลุงคนขับได้เลย รถใช้พลังไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อน รถจะจอดตามป้ายนะคะ ตั๋วใช้ได้สองวันค่ะ สวนสวยมากค่ะ ดูแลรักษาต้นไม้ใบหญ้าเป็นอย่างดี ตอนที่ไปนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงนะคะ มีใบไม้เปลี่ยนสีบ้าง  แต่ไม่ค่อยมีดอกไม้เท่าไหร่ หนูขิงไม่อยากลงไปเดินเราเลยนั่งรถไปเรื่อยๆสวนพฤษกศาสตร์นี้อยู่ในสวนสาธารณะ แฮกลีย์อีกทีนะคะ สร้างขึ้นเมื่อปี1863 มีเนื้อที่ประมาณ 75 เอเคอร์ถูกสร้างเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นเมืองของนิวซีแลนด์เอาไว้  แม่ไม่ค่อยได้ฟังคุณลุงพูดวันนี้เพราะมัวแต่ช่วยหนูขิงมองหาเป็ดค่ะ เรานั่งรถเลาะริมแม่น้ำ เอวอนไปเรื่อยๆ คุณลุงบอกว่าต้น วิลโลว์(willow) ที่อยู่ริมแม่น้ำนี้   เป็นลูกของต้นวิลโลว์ที่ปลูกอยู่ที่หลุมฝังศพของท่านจักพรรดินโปเลียนที่เกาะ St. Helena เรานั่งรถผ่าน Cunningham House ที่เป็นที่ปลูกพันธุ์ไม้เมืองร้อน  ผ่านสวนกุหลาบ มีดอกกุหลาบบ้างแต่ไม่มาก คุณลุงบอกว่าสวนกุหลาบนี้คือสัญญลักษณ์ของเมืองแบบอังกฤษ ผ่านสระบัวด้วยค่ะ  จากนั้นคุณลุงก็พากลับมาจอดที่หน้าน้ำพุ รูปนกยูง     หลังจากทัวร์เรา เดินออกมาเจอ  Art center แต่หนูขิงไม่อยากดู  ก็เลยโทรเรียกแท็กซี่ บริษัทแท็กซี่มีหลายบริษัทนะคะ เราใช้ Blue Star taxi ค่ะ เราจะไปซื้อของกันที่ Westfield Riccarton Mall  ห้างสรรพสินค้าเค้าไม่ใหญ่เหมือนเมืองไทยนะคะ เดินนิดเดียวก็ทั่วแล้ว  ส่วนใหญ่วันเสาร์ถึงพุธจะปิดหกโมงเย็น วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ปิดสามทุ่มค่ะ  ไปถึงหนูขิงหิวเลยทานกันที่ฟู๊ดคอร์ท ค่ะ มีร้านดีๆแต่ทุกคนอยากทานไม่เหมือนกัน  หนูขิงขอไปซื้อเองได้ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนมาหนึ่งกล่อง แม่ซื้อไก่ทอด พ่อไปซื้ออาหารเลบานีสมา
 
เมื่อคืนพ่อกับแม่ดูในทีวีมีโฆษณาของร้านที่ชื่อ The Warehouse New Zealand Limited เป็นแบบมีของขายทุกอย่างแต่ราคาถูก เราเลยออกมาหาแท๊กซี่ และบอกว่า อยากไปร้านนี้  เค้าบอกว่าอยู่ใกล้ๆเดินไปก็ได้แต่หนูขิงขี้เกียจเดินแล้ว  นั่งรถแค่ห้านาทีก็ถึงแล้วค่ะ  ที่นี่มีที่แผนกหนังสือใหญ่มาก หนูขิงขอซื้อเฉพาะเล่มที่ไม่มีในเมืองไทย  พ่อกับแม่ก็ไปเดินดูว่ามีอะไรขายบ้าง ได้ของมาพอสมควร เดินซักพักหนูขิงก็อยากกลับแล้วค่ะ เราเลยเรียกแท็กซี่กลับไปโรงแรม และบอกว่าช่วยขับวนรอบๆ red zone หน่อยอยากเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง คนขับแท็กซี่มาจากปากีสถานเลยเล่าให้เราฟังว่า ถ้าบ้านไหนไม่ผ่านการตรวจสอบโครงสร้าง เจ้าของก็ต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่ บริษัทส่วนใหญ่ก็ย้ายไปอยู่ชานเมือง ผู้คนที่ถูกผลกระทบจากแผ่นดินไหวลำบากมาก ร้านค้าเล็กๆก็ต้องปิดตัว ส่วนที่เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือ Cathedral square และบริเวณรอบๆอย่างเช่น city mall หรือถนนคนเดินก็ต้องปิดตัวเพราะตึกร้าว ตึกส่วนใหญ่ของ Christ College เป็นโรงเรียนที่เก่าแห่งหนึ่งของนิวซีแลนด์และเป็นแหล่งรวมตึกเก่าๆไว้มากที่สุดก็ร้าวด้วย 

 เราฟังแล้วก็ได้แต่เอาใจช่วยขอให้ฟื้นฟูเมืองได้เร็วๆ  เราผ่าน Bridge of remembrance เห็นว่ากำลังซ่อมแซมอยู่ ที่สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสดุดีทหารที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง  วันนี้ตอนบ่ายพ่อกับแม่ช่วยกันแพ็คของและโทรติดต่อให้รถมารับไปสนามบินพรุ่งนี้ ส่วนหนูขิงก็ดูทีวีไป เราสั่งอาหารจากร้านไทยมาทานที่โรงแรมตอนเย็น และเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะรถจะมารับตอนเจ็ดโมงค่ะ

วันสุดท้าย
 

หนูขิงตื่นมาด้วยความเศร้านิดๆเพราะไม่อยากกลับ พ่อกับแม่สัญญาว่าเราจะมาเที่ยวที่นี่อีกแน่นอน รถมาตรงเวลา คุณลุงคนขับบอกว่าต้องไปส่งอีกสองคนก่อนถึงจะวนไปสนามบิน เราเลยนั่งชมเมืองไปเรื่อยๆ  พอถึงสนามบินแม่กับหนูขิงก็ไปเช็คอิน ส่วนพ่อต้องรอนิดนึงเพราะเครื่องของพ่อออกช้ากว่าเรา เพราะเราใช้คะแนนสะสมมาแลกเป็นตั๋วของสิงคโปร์แอร์ไลน์ขาไปได้ไปด้วยกันทั้งสามคน แต่ขากลับ ต้องแยกกันคนละสายการบิน พ่อต้องนั่งแอร์นิวซีแลนด์ไปที่ Auckland แล้วต่อเครื่องของการบินไทย แต่แม่กับหนูขิงนั่ง สิงคโปร์แอร์ไลน์เหมือนเดิม  ไปหาร้านเพื่อทานอาหารเช้า หลังอาหารเช้าก็บ๊ายบายพ่อ  เจอกันที่บ้านนะคะพ่อ

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

วันที่สิบสี่ - Akaroa - Christchurch - Hagley Park


วันที่สิบสี่

วันนี้ตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยลงมาเบาๆ บรรยากาศของอ่าวอะคารัวนี้ก็สวยไปอีกแบบค่ะ วันนี้เราไม่มีโปรแกรมอะไรมากนอกจากไปพายคายัค แม่เลยใช้เวลาเก็บของ เพราะวันนี้เราต้องคืนรถค่ะ คืนนี้เราไปนอนในไครชท์เชิร์ช กันนะคะ วันมะรืนเราสามคนก็ต้องกลับบ้านแล้ว หนูขิงใส่เสื้อกันฝนและวื่งเล่นอยู่ข้างนอก สักพักก็วิ่งมาบอกแม่ให้ดูหมอกที่ปกคลุมอ่าวจนแทบมองไม่เห็นเมือง
(รูปนี้หนูขิงเป็นคนถ่ายนะคะ อ่าวAkaroa แบบขาวดำ)
 ยังไม่ทันไร Park Host ก็เดินมาถามว่า เราจองคายัค ซาฟารีเอาไว้ใช่ไหม ทางนั้นขอให้พ่อกับแม่โทรกลับไปหาด้วย  พ่อเลยโทรกลับไป ได้เรื่องว่า เค้าขอยกเลิกทัวร์ของเราวันนี้ เพราะวันนี้ฝนตกและเรามีหนูขิง เค้าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย  และจะคืนเงินมัดจำให้ พ่อเห็นด้วย  เราเลยไม่มีอะไรทำ แม่เอาเครื่องปรุงที่ซื้อมาและนำกลับไปเมืองไทยไม่ได้ไปวางไว้ที่ถาดในครัว ที่นี่เค้ามีถาด  “feel free to take it cz we are leaving” มีครอบครัวชาวสเปนที่เพิ่งมาถึงดีใจมากที่แม่วางซอสมะเขือเทศแพราะของเราเหลือตั้งเกินครึ่งขวด พ่อไปขอบคุณ Park Host และบอกว่าจะไปแล้ว  เราเลยไปที่ i-SITE อีกทีดูว่ามีอะไรให้ทำในวันฝนตกบ้าง  หนูขิงอยากไปดู เจ้าอัลปาคา ที่เห็นในโบรชัวร์ เลยขอให้เจ้าหน้าที่ที่ i-SITE ช่วยจองให้ เจ้าหน้าที่โทรไป ได้คำตอบมาว่าตอนนี้ฟาร์มปิด แต่เราสามารถขับรถไปดูที่ริมรั้วได้  คุณป้าเจ้าหน้าที่ของ i-SITEเลยบอกให้เราไปที่โรงงานชีส พาหนูขิงไปดูการทำชีส และที่นั่นมีชีสให้ชิมด้วยค่ะ  ช่วงนี้ไม่มีรูปนะคะ เมื่อคืนลืมชาร์จแบตกล้องค่ะ

เราขอบคุณคุณป้าและวิ่งผ่านสายฝนมาที่รถ  หนุขิงขอแวะร้านหิน Hettie’s ต่ออีกหน่อย  คราวนี้เข้าไปคุณลุงเจ้าของร้านจำหนูขิงได้เลยถามถึง คอลเลคชั่นของหินที่หนูขิงสะสม  หนูขิงรีบเล่าให้ฟังว่านอกจากหินแล้วหนูยังมีฟอสซิลด้วยค่ะ คุณลุงถามว่าหนูขิงมีขนของช้างแมมมอธ หรือยัง หนูขิงบอกว่ายังไม่มี คุณลุงเดินไปที่หลังร้านและเอาซองเล็กๆมาให้  หนูขิงดีใจมากขอแม่ให้ซื้อให้ เดินไปเอาแว่นขยายมาส่องดูด้วยความสนใจ ถามคุณลุงว่าเป็นของจริงหรือเปล่า คุณลุงเลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปหาซื้อหินที่แถวรัสเซีย คุณลุงไปเจอนักสำรวจคนหนึ่งและเค้าเอามาให้คุณลุงดู คุณลุงเลยซื้อมา  คุณลุงบอกหนูขิงว่า  ร้านนี้เป็นสาขาของร้าน Hetties ที่ใน ไครชท์เชิร์ช ซึ่งเป็นร้านขายหินที่เก่าที่สุดของนิวซีแลนด์  ก่อตั้งเมื่อปี 19688 แม่ถามคุณลุงถึงเรื่องแผ่นดินไหว คุณลุงบอกว่าร้านก็พัง หินตกลงมาเกลื่อนพื้นแต่โชคดีที่โครงสร้างของร้านไม่เป็นอะไร หนูขิงบอกคุณลุงว่าชอบร้านนี้มากและเป็นร้านขายหินที่ดีที่สุดที่เคยไปมา   เราขอบคุณและลาคุณลุงเจ้าของร้าน และ ขับต่อไปยังโรงงานชีส Barry’s Bay ระหว่างทางฝนตกตลอดเลยค่ะ  โรงงานเป็นโรงงานเล็กๆ เจ้าหน้าที่เล่าว่าโรงงานนี้เค้าทำชีสแบบดั้งเดิมตั้งแต่ปี 1895นะคะ แต่ใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้นเท่านั้น  และเป็นเพียงโรงงานเดียวที่เป็นแบบครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ที่ในเขต Banks Peninsula วัตถุดิบคือน้ำนมวัวก็มาจากวัวที่เลี้ยงอยู่ ในเขตนี้เท่านั้น เค้าเล่าแบบขำๆว่า เค้าไม่รู้จักชื่อวัวนะ แต่รู้ว่ามันอาศัยอยู่ที่ไหน หนูขิงหัวเราะชอบใจใหญ่เลยค่ะ  เราสามารถดูการทำชีสผ่านห้องกระจกได้นะคะ แต่พอทางโรงงานนำชีสออกมาให้ลองชิมหลายแบบ หนูขิงกับพ่อรวมถึงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็หันไปสนุกกับการชิมมากกว่า  เราชิมกันไปหลายชนิดมาก  แม่ชอบ Maasdam cheese ค่ะ รสออกหวานนิดๆ เป็นแบบสวิสชีสที่มีรูค่ะ สีขาวนวลใช้ทำอาหารได้หลายอย่างค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่ารูในMaasdam นั้นจริงๆแล้วคือ ตาของชีสที่เกิดจากการระเบิดระหว่างการหมัก เป็นลักษณะเฉพาะของชีสนี้เลยนะคะ  แม่กะว่าจะเอาไปใส่ในquiches เวลากลับเมืองไทย  หนูขิงกับพ่อชอบ Havarti ชีสชนิดนี้ ต้นตำหรับมาจากประเทศเดนมาร์คค่ะ ค่อนข้างหวานมัน นิยมทานเป็นของหวานกับผลไม้ แต่ตอนกลับมาเมืองไทยแม่เอามาทำแซนด์วิชชีสให้หนูขิงก็อร่อยดีนะคะ  เราชิมกันจนหนูขิงบอกว่าอิ่มแล้ว เจ้าหน้าที่ใจดีมากเปิดชีสให้ลองหลายรสเลยค่ะ  แม่เลยซื้อกลับมาเพื่อเป็นของฝากด้วย  ออกจากโรงงานชีสแล้ว แต่ฝนยังไม่หยุดตกเลย หนูขิงยังอยากดูอัลปาคา พ่อเลยลองขับไป แต่ไม่มีซักตัว คงเป็นเพราะฝนตก  หลังจากนั้นเราเลยตัดสินใจขับไป ไครชท์เชิร์ช ตาม SH75 มาเรื่อย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง  เราจองโรงแรมเล็กๆ ชื่อ Courtesy court เอาไว้ พอติดต่อเรื่องห้องพักเสร็จก็บ่ายสองโมงแล้ว แต่หนูขิงบอกว่าหนูยังอิ่มชีสอยู่เลย   เราเลยดูแผนที่เห็นมีร้านไทยชื่อ Sema’s Thai Cuisine อยู่ใกล้ๆ เลยไปทานกัน  พ่อสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อมาลอง ของแม่กับหนูขิงสั่งข้าวผัดหมูมาแบ่งกันค่ะ อาหารอร่อยมากค่ะ จากนั้นพ่อก็ไปคืนรถที่ศูนย์ ส่วนแม่กับหนูขิงก็จัดของ พ่อไปซักชั่วโมงกว่าๆก็กลับมา  แต่ฝนยังตกอยู่เลยค่ะ   ว่าจะพาหนูขิงไปนั่งเรือถ่อ Boat Punting ของแม่น้ำ Avon ก็คงไม่ได้ แถมหนูขิงยังสนุกอยู่กับการดูการ์ตูน  พ่อเล่าว่าเจอคุณเจ้าหน้าที่คนเดิมที่เราเจอตอนมาถึง เค้าแนะนำให้ไปที่  Riccarton Mall มีร้านหลายร้าน  คิดว่าพรุ่งนี้จะพาหนูขิงไป ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว เราเลยไปเดินเล่นกัน ในแผนที่บอกว่าเดินไปนิดเดียวก็ถึงสวนสาธารณะแฮกลีย์ (Hagley Park) และ สวนพฤษกศาสตร์ (Botanic garden) เราสามคนเลยเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ สวนสาธารณะแฮกลีย์นี้กว้างมากค่ะเห็นมีป้ายเขียนไว้ว่าประมาณ 395เอเคอร์  มีแม่น้ำเอวอนไหลผ่าน



ระหว่างทางเราต้องเดินเลาะส่วนที่เรียกว่า Red Zone เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยจากแผ่นดินไหว  เริ่มจากวันที่ 4 กันยายน พ.. 2553 ยังมีแผ่นดินไหวติดต่อกันหลายครั้ง  และเกิดเหตุการณ์อาฟเตอร์ช๊อค( Aftershock) ตามมา อีกนับไม่ถ้วนจนกระทั่งเกิดแผ่นดินไหวถึง 6.3 ริคเตอร์เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.. 2554  ทำให้ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่บางส่วนของเมือง เราอ่านเจอว่า สัญญลักษณ์ของเมืองคือ Christchurch Cathedral ก็เสียหาย เราสามารถมองเห็นจากริมรั้วได้ว่า ตึกบางตึกกำลังถูกทุบทิ้ง บางตึกก็ถูกซ่อมแซมใหม่  เดินผ่านที่หอนาฬิกานี้ รากฐานไม่พัง สายล่อฟ้างออย่างเดียว

เราเดินไปเจอ i-SITE ที่ตั้งอยู่ที่หน้า พิพิธภัณฑ์แคนเทอเบอรี่Canterbury Museum เจ้าหน้าที่กำลังปิดประตู เพราะหกโมงกว่าแล้ว เราสอบถามได้ความว่า ตอนนี้ พิพิธภัณฑ์ก็ปิดเพราะเมื่อสองสามวันก่อน มีแผ่นดินไหว  และแนะนำให้เรานั่ง caterpillar garden tour เพื่อชมสวนแทน เราเลยว่าจะพาหนูขิงมาพรุ่งนี้  เลยเดินเล่นมาเรื่อยๆ ใช้ถนนWorcester Boulevard เห็นป้ายร้านอาหารเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเขียนในทำนองว่า เปิดขายแล้วนะ  เจอร้านนึงดูดี เลยเข้าไป  ชื่อว่า Cook ‘n’ with Gas



โอ้โหคนเยอะมาก บอกว่าเราไม่ได้จองไว้มีที่นั่งไหม เค้าบอกว่ามีเหลือหนึ่งโต๊ะพอดี ใช้บ้านเก่ามาตกแต่งใหม่ ดูน่ารักดีค่ะ เราสั่งmixed breads&dips มาทานเล่น  พ่อสั่งHallmark lamb เป็นการสั่งลาเนื้อแกะ พนักงานแนะนำว่า Pork belly ของที่นี่อร่อย แม่เลยลองสั่งมา ส่วนหนูขิงบอกว่าอยากลองเป็ดของเค้า  อาหารหน้าตาสวยมาก ตกแต่งอย่างดี รสชาดพอใช้ได้ หนูขิงบอกว่า เป็ดรสชาดเหมือนเป็ดที่เมืองไทยเลยแม่แต่เนื้อนุ่มกว่า   ทานเสร็จเราก็โทรเรียกแท็กซี่เพื่อพากลับที่พัก

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

วันที่สิบสาม Lovely Day in Akaroa


วันที่สิบสาม

เช้าวันนี้อากาศสดใสมากค่ะ  หลังอาหารเช้า เราเดินลงไปที่ตัวเมืองอะคารัวกันค่ะ Akaroa แปลว่าอ่าวยาว?? Long harbor พ่อบอกว่าแปลได้แย่มากๆอีกแล้ว   เมืองนี้ตามประวัติว่าไว้ว่า กัปตันของเรือล่าปลาวาฬชาวฝรั่งเศส  Jean Langlois เจอเมืองนี้ก่อนในปี1838 และ กลับไปชักชวนให้นักบุกเบิกมาตั้งหลักแหล่งที่นี่ในปี 1840 โดยใช้เรือโดยสารชื่อ Compte de Paris แต่เมื่อนักบุกเบิกมาถึง กลับเจอธงของอังกฤษและพบว่าชาวเมารีได้ทำสนธิสัญญากับอังกฤษก่อนแล้ว  แต่ชาวฝรั่งเศสก็ยังสร้างเมืองในแบบของฝรั่งเศส รวมถึงตั้งชื่อถนนเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย และยังมี ลูกหลานของนักบุกเบิกชาวฝรั่งเศสยังอาศัยอยู่ที่เมืองนี้  ลองนึกดูนะคะว่าถ้าฝรั่งเศสมาถึงก่อน นิวซีแลนด์กลายเป็น French colony เกาะนี้จะเหมือนเดิมไหม
 

 เราไปที่ i-SITEก่อน เพราะขิงอยากไปดู Hector Dolphin เราไปจองเรือได้ตอนเที่ยงสี่สิบห้า  โอ้โหยังเหลือเวลาอยู่อีกเยอะ พ่ออยากไปพายเรือคายัค เลยไปถามที่  Akaroa Guided Kayak Safari ถามว่าหนูขิงไปได้ไหม เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องนั่งตักพ่อ และแม่พายอีกลำ  เราจองไว้พรุ่งนี้ เค้ามีรอบสิบเอ็ดโมงครึ่ง ทัวร์นี้ก็จะพาเราพายไปรอบๆอ่าว ชมธรรมชาติแลละดูสัตว์ต่างๆ  พาไปที่ชายหาดเพื่อไปทานอาหารกลางวันและ ก็กลับ เดินต่อมาเจอ  Akaroa Museum ที่ใช้ บ้านของ Langlois-Eteveneaux House ตึกเก่าอีกสองสามหลังมาเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์  เราเลยแวะดูกัน

หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารกลางวันกัน ร้านชื่อ L’Hotel  Le restaurant Le Bar  ร้านอยู่ติดกับท่าเรือเลยค่ะ เราไปกับทัวร์ของ Akaroa Dolphins เรือทันสมัยมากค่ะ ชื่อ Into the blue เป็นคาตามารานลำไม่ใหญ่มากสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 25 คน  ที่พิเศษกว่าเรือลำอื่นคือ มีสุนัขหน้าตาน่ารักคอยเห่าว่ามีโลมาอยู่ที่ไหน วันนี้เราได้สุนัขชื่อ Murphy เป็นสุนัขพันธ์เทอเรีย มีเสื้อชูชีพส่วนตัวด้วยนะคะ คุณลุงเจ้าของเรือเล่าว่า ลูกสาว พา Murphy ขึ้นเรือไปด้วยตลอดเวลา จนสังเกตุห็นว่า Murphy จะเห่าทุกครั้งเมื่อสังเกตุเห็นโลมา เลยคิดว่าเจ้าหมาตัวนี้คงได้ยินเสียงของโลมา ลูกสาวเป็นไกด์ของเรือ และได้นำเรื่องของ Murphy มาแต่งเป็นหนังสือสำหรับเด็กด้วย แม่เลยซื้อมาให้หนูขิงเอาไว้เป็นที่ระลึก หนังสือชื่อว่า “Murf Murf the dolphin dog” คุณ Sonya ผู้แต่งได้เซ็นชื่อในหนังสือให้หนูขิงด้วยค่ะ    Murphy สามารถได้ยินเสียงของโลมาค่ะ ระหว่างเรือแล่นออกไปกัปตันกำลังอธิบายอยู่ Murphy ก็เห่า  ทุกคนเลยมองลงไปในน้ำ  มี hector dolphins มาว่ายน้ำข้างๆเรืออยู่สองสามตัวค่ะ

โลมาชนิดนี้จะเจอได้ในแถบเกาะใต้เท่านั้น และเป็นชนิดที่ตัวเล็กที่สุดและหายากที่สุดนะคะ คุณลุงกัปตันเล่าว่า เพราะครีบบนสีดำของมัน คนที่นี่เลยเรียกว่า Mickey mouse ears โลมาพวกนี้ชอบอาศัยอยู่บริเวณน้ำตื้น จึงถูกชนโดยเรือ หรือ ติดอวน บ่อยๆ ทำให้มันจมน้ำ  ในเรือยังมี เครื่องดื่มและคุ๊กกี้ออร่อยๆ แจกด้วยนะคะ ทุกคนในเรือสนุกมาก เด็กๆเรียก Murphy ว่า Murf Murf ตามหนังสือ  murf murf สนุกมากที่มีเด็กๆคอยวิ่งตาม

ทุกครั้งที่ มันเจอโลมา มันจะเห่าเรียกเราให้ไปดู  เราเจอโลมาหลายตัวมากค่ะ  คุณลุงยังเล่าให้ฟังว่า เมืองนี้ตั้งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว เมื่อภูเขาไฟระเบิด หลังการระเบิดน้ำทะเลได้ท่วมเข้ามาทำให้เกิดเป็นอ่าวขึ้น ถ้าไปที่ Summit Road เราจะสามารถขับรถวนรอบปากปล่องภูเขาไฟดั้งเดิมได้ แ ละ พาไปดู แมวน้ำด้วยนะคะ มีแมวน้ำมานอนผึ่งแดดอยู่ที่โขดหินริมฝั่งเยอะมาก เห็นลูกแมวน้ำด้วยค่ะ  
เรือเราแล่นผ่านฟาร์มเลี้ยงปลา marine salmon ฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ Paua Pearls ที่อยู่กลางทะเล และเห็นนกทะเล บินวนเวียนอยู่รอบๆฟาร์มเยอะมาก คุณลุงคอยชี้ให้ดูว่าตัวไหนชื่ออะไรด้วย ที่นี่มีกทะเลหลายชนิด แต่ที่มีค่อนข้างมากคือ red-billed gull   คุณลุงยังเล่าต่อไปอีกว่า ภรรยาของคุณลุงสืบเชื้อสายมาจากนักบุกเบิกที่เป็นเพื่อนกับ Captain Langlois และยังคงเป็นครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาจากนักบุกเบิกรุ่นแรกที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่
 

เวลาสองชั่วโมงครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หนูขิงขอถ่ายรูปกับ Murphy ด้วยค่ะ ที่ท่าเรือมีร้านทัวร์ที่พาไปว่ายน้ำกับโลมาด้วย หนูขิงอยากไปแต่แม่ว่าน้ำเย็นเกินไป  แต่จริงๆแล้วแม่ไม่อยากบอกว่าหนูขิงยังว่ายน้ำไม่เก่ง  กลัวเสียความตั้งใจ อ้อมีร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยเป๋าฮื้อที่ท่าเรือด้วยนะคะ  เราเดินตาม Beach Road ไปเรื่อยเพื่อไปดูประภาคารที่เราเห็นตอนอยู่ในเรือ ปรากฏว่าเป็นประภาคารที่สร้างเพื่อเสริมความสวยงามของทิวทัศน์ไม่ได้ใช้จริงค่ะ 

 เราเลยมาเดินเล่นในเมือง  หนูขิงเจอร้านขายหินและแร่ชื่อว่า Hettie’s Rock and Crystal shop ซึ่งมีหินจากหลายแหล่งมาขาย  หนูขิงเดินดูอย่างมีความสุขมาก หนูขิงใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณชั่วโมงกว่า เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรดี อยากได้ไปหมดทุกอย่าง  หนูขิงบอกว่าหนูใช้เงินของหนูเกือบหมดเลยนะแม่ 

 ออกจากร้านเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆมีร้านขายของน่ารักเต็มไปหมด  มีร้านนึงชื่อ Pot Pourri ขายของกระจุกกระจิกและมี  Homemade fudge ขายด้วย แม่เลยต้องลองซื้อมาชิมหน่อย หวานไปหน่อยแต่อร่อยดีค่ะ
   ที่นี่มีร้านอาหารค่อนข้างเยอะนะคะ ถ้าเทียบกับขนาดของเมือง แต่เราตัดสินใจไม่ทานที่ร้าน เพราะเราใกล้กลับบ้านแล้วแม่อยากเคลียร์ของในตู้เย็นเพราะเราจะกลับบ้านแล้วค่ะ  วันนี้ทำผัดผักรวมมิตร กับ ไข่เจียวกุ้งค่ะ ขอปิดท้ายด้วย Walt Whitman...."Keep your face always toward the sunshine - and shadows will fall behind you."

 

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

วันที่สิบสอง - Mt. Cook - lake Tekapo - Geraldine -Akaroa: The scenic route


วันที่สิบสอง

เช้าวันนี้อากาศดีอีกแล้ว หนูขิงเลยไปกระโดดtrambolineเล่นค่ะ แต่เราต้องไปแล้วเลยเล่นได้แป๊ปเดียว

เราขับออกจากGlentanner Holiday Park และหันไปร่ำลาMt. cook แล้วก็รีบเผ่นเพราะวันนี้อาจจะต้องแวะหลายที่และขับรถไกล 
วันนี้ว่าจะแวะไปทะเลสาบเทคาโป( Lake Tekapo) เราใช้ SH80ขับ เลาะทะเลสาบปูคากิ(Pukaki Lake) มาเรื่อยๆ พอมาถึง SH8 ก็ขับไปทาง ที่บอกว่าTekapo  ขับมาสักพักเจอจุดให้ถ่ายรูปชมวิวริมทาง รถทัวร์จอดเต็มไปหมด  พ่ออยากไปแวะดู Mount Cook Alpine Salmon Farm ปรากฏว่าฟาร์มไม่เปิดให้คนเข้าชม มีแต่ส่วนของร้านขายปลา แม่บอกว่า มีคูปองลดราคาอยู่ด้วย เราซื้อปลาดิบ มาไว้ทานเล่น และซื้อปลาสดมาอีกหนึ่งชิ้น  และเดินดูกระชังเลี้ยงปลาที่ในคลองริมถนน มีป้ายเขียนว่า Tekapo Hydro canal พ่อเลยบอกว่าในแผนที่มีโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอยู่ใกล้ๆ เราอ่านเอาจากโบรชัวร์ที่เขียนไว้ว่า ฟาร์มนี้อยู่ทีระดับ600ฟุตเหนือจากน้ำทะเล เลยทำให้เป็นการเลี้ยงปลาแซลมอนที่สูงที่สุดในโลก และยังบอกว่าน้ำที่ในคลองนี้เป็นน้ำที่สะอาดมากเพราะละลายมาจากธารน้ำแข็ง ปลาเลยมีคุณภาพดี ใกล้กับฟาร์มปลาแซลมอนมีคนมานั่งตกปลาริมคลองกันเยอะเลยค่ะ  

ระหว่างทางไปทะเลสาบเทคาโป มีป้ายของ Mt John Observatory หนูขิงอยากแวะไปดู  เราเลยขับไปกัน ตอนนี้เป็นตอนกลางวันเลยไม่มีทัวร์ดูดาว  ข้างบนนี้เราสามารถชมวิวของเมือง เทคาโป และหุบเขาโดยรอบได้  มี Astro café แต่คนเยอะมาก เราเลยจะไปทานกลางวันในเมืองกัน

 ขับรถแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว  ระหว่างทางเข้าเมืองเห็นมีคนมาขี่จักรยานกันเยอะมาก ขับไปอีกหน่อยเลยเข้าใจ เพราะมีป้ายเขียนว่า Richmond Trail เป็นเส้นทางของจักรยานเสือภูเขา  เรามาถึง ที่ lake Tekapo Village center มีรถจอดเยอะมากค่ะ เจอร้าน cafe เล็กๆเลยไปสั่งพาย กับสลัดมาแบ่งกัน จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆค่ะ  ทานอาหารเสร็จก็ไปเดินดูรอบทะเลสาบมีร้านอาหารและร้านขายของตั้งอยู่โดยรอบ  ทะเลสาบเทคาโปนี้ผืนน้ำสีสวยมาก เป็นสีเขียวมรกตเลยค่ะ แต่หนูขิงบอกว่า เหมือน Turquoise blue มากกว่านะแม่ น้ำ สีเขียวอมฟ้านี้เกิดจากแร่ธาตุผสมกับน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็ง 

 

เราเดินเล่นมาเรื่อยๆจนถึง โบสถ์หลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาจากหิน ชื่อว่า Church of Good Shepherd โบสถ์หลังแรกในแถบนี้  ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงผู้บุกเบิกดินแดนในแถบที่ราบแมคเคนซี่ (Mackenzie Basin) ที่หน้าต่างของโบสถ์ถูกออกแบบมาเพื่อให้เราได้ซาบซึ้งและประทับใจกับความสวยงามของที่นี่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา “To encompass the beauty of God’s creation” 
  ใกล้ๆกัน ก็มีอนุสาวรีย์ของสุนัขเลี้ยงแกะที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงความดีของสุนัขเลี้ยงแกะ Collie Dog หนูขิงอยากวิ่งเล่นริมทะเลสาบอีกหน่อย พ่อเลยไปขับรถมารอ  ออกเดินทางกันต่อ พ่อกับแม่ปรึกษากันว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะถ้าจะไป ไครชท์เชิร์ช คงจะไม่มีอะไรทำมากนอกจากซื้อของ เพราะผลกระทบจากแผ่นดินไหว และสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ใน Red Zone

ถ้าไป ไคคัวรา ( Kaikoura) อาจจะไกลไปนิดนึง เราเลยเลือกไป อะคารัว(Akaroa) จากเมือง เทคาโปใช้ SH8 (Fairlie-Tekapo Road) จนมาถึง เมือง Fairlie ก็เปลี่ยนเส้นทางไปใช้  SH79 (Geraldine-Fairlie Road) จากนั้นก็ต่อด้วย SH1 ขับขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ พอถึงใกล้ ไครชท์เชิร์ช ก็ตามป้าย อะคารัว ไปเลยค่ะ  ระยะทางค่อนข้างไกลตั้ง 280 กิโล เลยบอกพ่อว่าเราน่าจะค้างคืนที่เจอรัลดีน( Geraldine) นะ พ่อคิดว่าน่าจะไหว  แต่ยังไงเราก็หยุดพักเดินเล่นที่ โฟร์พีคพลาซา(Four Peaks Plaza) ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ของเมืองเจอรัลดีน


 มีร้านขายเบเกอรี่Berry Barn Bakery แม่ซื้อพายมาลองหนี่งชิ้นอร่อยดีค่ะ  และร้านขายแยมชื่อฺ Barker’s of Geraldine ที่เป็นร้านเก่าแก่ของเมืองตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1969 และใช้ผลิตผลจากฟาร์มของที่ร้าน พนักงานที่นี่บอกเราว่าให้ชิมก่อนชอบใจค่อยซื้อ  แม่กับพ่อเลยลองชิมแยมรสต่างๆกันสนุกไปเลยค่ะ  ร้านนี้มีน้ำเชื่อมรสผลไม้ให้ลองด้วยค่ะ  หนูขิงไม่ยอมชิม เลย จะขอไปที่ ร้านขายชีสชื่อ Talbot Forest Cheeseอย่างเดียว ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ มีชีสไม่กี่ชนิด ทำแบบอุตสาหกรรมในครอบครัวและใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นค่ะ  พนักงานตัดชีสมาให้ลองชิ้นใหญ่มากค่ะ หนูเลยสนุกกับการชิมชีสค่ะ ที่นี่ขายอุปกรณ์พวกมีดตัดชีส และเครื่องขูดชีส แม่เลยอุดหนุนเคื่องขูดชีสด้วยมือมาหนึ่งอัน   จากนั้นก็ไปต่อ หยุดอีกทีที่เมืองแอชเบอร์ตัน( Ashburton) เพื่อแวะที่ นิวเวิรลด์ หลังจากนั้นก็ขับยาวเข้าไปที่ อะคารัว เลยค่ะ ถึงเกือบสองทุ่ม แม่ดูในแผนที่ เห็นมี Akaroa Top 10 Holiday Park อยู่ด้วย  เราเลยแวะถามว่ามีที่พักไหมและ ขอโทษ Park Host ว่ามาดึกไปหน่อย    เค้ารีบบอกว่ามีที่ว่างและชี้ให้ดูว่าที่จอดอยู่ที่ไหน แนะนำส่วนต่างๆของ ฮอลิเดย์พาร์คให้เราทราบตามธรรมเนียม เรารีบไปจอดและทำกับข้าว วันนี้ทำ ข้าวผัด กับ ปลาแซลมอนย่าง เพราะที่ครัวมี เตาย่าง BBQ ให้ใช้ด้วยค่ะ